อัพเดทใหม่ล่าสุดเมื่อ 7 สิงหาคม 2023

การทำความเข้าใจกฎหมายและข้อบังคับเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มาท่องเที่ยวหรือพำนักอยู่ในประเทศไทย ดังนั้น นี่คือรายละเอียดของแนวปฏิบัติของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเกี่ยวกับการจับกุมผู้พกพาบุหรี่ไฟฟ้าในปี 2566

หลักกฎหมายปัจจุบันที่ทำให้บุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมาย เนื่องจากบุหรี่ไฟฟ้าจัดอยู่ในประเภท “ผลิตภัณฑ์ยาสูบ” ตามมาตรา 4 ของพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 หากพบผู้ฝ่าฝืนมาตรา 42 ประกอบมาตรา 67 แห่งพระราชบัญญัตินี้ มีโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท

สถานะทางกฎหมายของบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย

ปัจจุบัน ความผิดตามกฎหมายที่กำหนดแก่บุหรี่ไฟฟ้า ได้แก่ การครอบครอง ซื้อ ขาย หรือแม้แต่รับบุหรี่ไฟฟ้าโดยรู้ว่านำเข้ามาโดยไม่ปฏิบัติตามกระบวนการทางศุลกากรที่ถูกต้องถือเป็นความผิด ตามมาตรา 246 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 

บทลงโทษหากพบว่ามีความผิดในกฎหมายเกี่ยวกับบบุหรี่ไฟฟ้า ได้แก่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับเป็นเงินสี่เท่าของราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งยึดสินค้า โดยไม่คำนึงถึงเจตนา หากเจ้าหน้าที่ตำรวจพบบุหรี่ไฟฟ้า ถือว่าเป็นสินค้าผิดกฎหมาย จะถูกยึดและทำลายตามกฎหมายศุลกากร

แนวทางการดำเนินคดี

กระบวนการใหม่ที่ตำรวจจะปฏิบัติเมื่อจับกุมผู้ที่มีบุหรี่ไฟฟ้าไว้ในครอบครองในปี 2566 มีดังนี้

การแสดงตัวเข้าจับกุม: เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้จับกุมต้องแจ้งให้บุคคลนั้นทราบว่าการมีบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ตามแนวทางดำเนินคดี การครอบครองบุหรี่ไฟฟ้า ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 2566 ใหม่ล่าสุด ได้เปิดโอกาศให้ประชาชนเลือกชำระค่าปรับแทน โดยตกลงระงับคดีในชั้นศุลกากรได้

การตกลงระงับคดี: หากผู้ต้องหายอมรับความผิด สามารถใช้ทางเลือกในการยุติคดีในระดับศุลกากร โดยทำเป็นบันทึกคำร้องขอระงับคดี และส่งคืนบุหรี่ไฟฟ้าให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อทำลายต่อไปได้

โดยเจ้าพนักงานสอบสวนจะส่งเรื่องขอระงับคดีและให้ผู้ต้องหาลงลายมือชื่อเป็นลายลักษณ์อักษร หลักฐาน บันทึกการจับกุม คำให้การของผู้ต้องหา ของกลางบุหรี่ไฟฟ้า และเอกสารอื่น ๆ เพื่อส่งต่อไปยังหน่วยงานศุลกากรที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาต่อไป

หากได้รับการอนุมัติการตกลงระงับคดีในชั้นศุลกากร บุหรี่ไฟฟ้าจะตกเป็นของรัฐและการดำเนินคดีจะถูกระงับ และให้พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบคดีเสนอสำนวนพร้อมความเห็นควรสั่งไม่ฟ้องไปยังพนักงานอัยการเพื่อพิจารณาต่อไป ตามมาตรา 256 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2560

อ้างอิงตาม บันทึกข้อความ ที่ 0011.14/ว วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2566 เรื่อง ข้อกฎหมาย และแนวทางการปฎิบัติ กรณีความผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า ลงนามโดย พล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์

เหตุผลเบื้องหลังแนวทางของสำนักงานตำรวจ

เหตุผลสำคัญสำหรับการเปลี่ยนแปลงท่าทีของสำนักงานตำรวจแห่งชาตินี้คือการรับรู้ของสาธารณชน เมื่อนักท่องเที่ยวที่ไม่รู้กฎหมายบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาในประเทศไทยต้องเผชิญกับการจับกุมและเรียกรับสินบนที่ไม่เป็นธรรม สิ่งนี้ทำให้เกิดความสับสน การวิพากษ์วิจารณ์และชื่อเสียงเชิงลบเกี่ยวกับกฎหมายไทยและการบังคับใช้

เพื่อแก้ไขข้อกังวลที่เพิ่มขึ้นจากความสนใจของสื่อใหญ่ในประเทศ หน่วยงานรัฐบาลหลายแห่งได้รวมตัวกันเพื่อแก้ไขปัญหานี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กรมศุลกากร กรมการค้าต่างประเทศ และกรมควบคุมโรค จัดการประชุมร่วมกันและการแถลงข่าวในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 ได้เน้นย้ำและรับทราบปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าและกำหนดแนวทางปฏิบัติสำหรับการบังคับใช้ในอนาคต

การตัดสินใจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการเปลี่ยนจากการจับกุมผู้พกพาบุหรี่ไฟฟ้าเป็นการเสนอข้อตกลงระงับคดี และเปรียบเทียบปรับ(ข้อตกลงระงับคดีในชั้นศุลกากร) สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวและการตอบสนองต่อความรู้สึกของสาธารณชน แนวทางนี้ไม่เพียงทำให้มั่นใจว่ากฎหมายจะได้รับการปฏิบัติตาม แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการปรับนโยบายเพื่อตอบสนองความต้องการและข้อกังวลของทั้งพลเมืองและผู้มาเยือนประเทศไทยอย่างนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ยอดเยี่ยม

สรุปส่งท้าย

สุดท้ายนี้ เราจะพบว่าหลักเกณฑ์การจับกุมและกฎระเบียบทางกฎหมายเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยนั้นมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้แสดงให้เห็นถึงความละเอียดอ่อนอย่างมากต่อการรับรู้ของสาธารณชนและพลวัตที่เปลี่ยนแปลงของการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ ที่เดิมทีประเทศไทยได้บังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าที่เข้มงวด รวมถึงค่าปรับจำนวนมากและอาจถูกจำคุกหากมีการฝ่าฝืน

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันสำหรับแนวทางการจับกุมของสำนักงานตำรวจในปี 2566 สะท้อนให้เห็นถึงจุดเปลี่ยนจากการลงโทษไปสู่การแก้ปัญหาที่เป็นมิตรมากขึ้น ขณะนี้ เมื่อบุคคลถูกจับได้ว่ามีบุหรี่ไฟฟ้าพกพา จะได้รับตัวเลือกสำหรับการทำข้อตกลงระงับคดีชั้นศุลกากร กระบวนการนี้เป็นการตอบสนองต่อฟันเฟืองของสาธารณะชนที่ต้องการทำให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมายเพิ่มมากขึ้น ทั้งยังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทางการไทยในการสร้างสมดุลระหว่างการบังคับใช้กฎหมายกับผลประโยชน์ทางเศรษกิจและการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ

การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้ให้มีผลในแง่ปักเจกบุคคลเท่านั้น เพราะมันสอดคล้องกับกลยุทธ์การท่องเที่ยวที่กว้างขึ้นของประเทศไทย เพื่อให้มั่นใจว่าผู้มาเยือนและนักท่องเที่ยวควรเคารพกฎหมายท้องถิ่นที่มีเหตุผล เนื่องจากประเทศไทยไม่เพียงแต่ตอบสนองต่อปัญหาระยะสั้นเท่านั้น แต่ยังปรับกรอบกฎหมายในเชิงรุก และสร้างผลประโยชน์ของประชาชนเพื่อชื่อเสียงในเวทีโลก

ตามหลักเกณฑ์ล่าสุดของสำนักงานตำรวจ บุหรี่ไฟฟ้ายังคงผิดกฎหมายอยู่ เนื่องจาก หรี่ไฟฟ้าจัดอยู่ในประเภท “ผลิตภัณฑ์ยาสูบ” ตามมาตรา 4 ของพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 อยู่ ทำให้ผู้ครอบครอง ซื้อ ขาย หรือนำเข้ายังต้องรับโทษตามกฎหมาย หากแต่ผู้ครอบครองสามารถตกลงระงับคดีในชั้นศุลกากรได้เท่านั้น ซึ่งสำหรับ ผู้ขายและนำเข้า ยังมีโทษตามกฎหมายดังเดิม อ้างอิงตาม บันทึกข้อความ ที่ 0011.14/ว เรื่อง ข้อกฎหมาย และแนวทางการปฎิบัติ กรณีความผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า

1.. กรณีผู้ชายหรือผู้ให้บริการบุหรี่ไฟฟ้า คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคได้มีคำสั่งที่ 7/2558 ลง 28 ม.ค. 58 เรื่อง ห้มขายหรือห้ามให้บริการสินค้า “บารากู้ บารากูฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้ หรือตัวยาบารากู่น้ำยาสำหรับเติมบาราภูฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า” (ประกาศนราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 18 ก.พ. 58)ซึ่งจากการทดสอบของกรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่ามีสารเคมีที่ เป็นอันตรายต่อร่างกายหลายชนิด นอกจากนี้ ยังพบโลหะหนักที่เป็นสารก่อมะเร็ง ซึ่งการสูบอุปรณ์ตังกล่าวอาจทำให้ผู้สูบเกิดโรคต่ง ๆ หรือเป็นสาเหตุของการแพร่กระจายโรคติดต่อหลายชนิด ดังนั้น ผู้ใดขายหรือให้บริการ มีความผิดตามมาตรา 28/9 ประกอบมาตรา 56/4 แห่ง พ.ร.บคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 และที่แก้ไซเพิ่มเติม ต้องระวางโทษจำคุกไม่กินสามปีหรือปรับไม่เกินหกแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

2.กรณีผู้นำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า เป็นความผิดตามมาตรา 20 แห่ง พ.ร.บ.การส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ประกอบประกาศกระทรวงพาณิชย์เรื่อง กำหนดให้บารากู่และบารากูไฟฟ้า หรือบุหรี่ไฟฟ้า เป็นสินค้าที่ห้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักรพ.ศ. 2557 ต้องระวางโหษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับเป็นเงินห้าเท่าของราคาสินค้า หรือทั้งจำทั้งปรับกับให้ริบบุหรี่ไฟฟ้า รวมทั้งสิ่งที่ใช้บรรจุ และหาหนะใตๆ ที่ใช้ในการบรรทุกสินค้าบุหรี่ไฟฟ้านั้นด้วยนอกจากนั้นยังเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 244 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับไม่เกินห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และศาลอาจสั่งริบของนั้นก็ได้ ไม่ว่าจะมีผู้ถูกลงโทษตามคำทิพากษาหรือไม่

เมื่อคุณพกพาบุหรี่ไฟฟ้าและถูกจับกุม ตามหลักเกณฑ์ล่าสุด สามารถตกลงระงับคดีในชั้นศุลกากรได้โดยไม่ต้องนำคดีขึ้นสู่ชั่นศาล เนื่องจากกฎหมายศุลกากรเป็นกฎหมายพิเศษช่วยให้ผู้กระทำความผิดมีโอกาสยุติความผิดในระดับศุลกากรได้โดยไม่ต้องผ่านการพิจารณาคดีของศาล อย่างไรก็ตาม หากคุณไม่ปฏิบัติตาม เช่น หากกรมศุลกากรประเมินความผิดและคุณเพิกเฉยไม่ชำระค่าปรับที่กำหนดไว้ คดีอาจบานปลาย กองบังคับการอาจส่งเรื่องไปยังกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับเศรษฐกิจซึ่งจะเรียกตัวผู้กระทำผิดมาแจ้งข้อกล่าวหาต่อไป การไม่ปฏิบัติตามอย่างต่อเนื่องอาจส่งผลให้มีการเสนอคดีในศาล โดยพื้นฐานแล้ว การแก้ไขปัญหาในระดับศุลกากรเป็นหนทางที่รวดเร็วกว่า ในขณะที่การต่อต้านไม่ชำระค่าปรับจะนำไปสู่มาตรการในชั้นศาลต่อไป

กรณีผู้ครอบครองพกพาบุหรี่ไฟฟ้า อันเป็นสินค้าห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักรจะมีความผิดฐาน ช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ หรือรับไว้โดยประการใด ซึ่งของอันตนรู้ว่าเป็นของที่เข้ามาในราชอาณาจักร โดยยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากรโดยถูกต้อง ตามมาตรา 246 วรรคหนึ่ง ของ พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 จะต้องถูกปรับเป็นเงิน 4 เท่าของราคาสินค้า ยกตัวอย่างเช่น หากคุณครองและพกพา บุหรี่ไฟฟ้าแบบใช้แล้วทิ้ง Ks Quik 5000 คำ ที่ราคาตามท้องตลาด 1 ชิ้น อยู่ที่ 350  บาท คุณจะถูกปรับ 4 เท่า เป็นเงิน 1400 บาท ต่อชิ้น เป็นต้น

เขียนโดย เฮียเจแปน

นักรีวิวบุหรี่ไฟฟ้าชาวไทยที่สนใจและตามหาเรื่องราวในรสชาติและผู้คนที่เกี่ยวโยงกันอย่างมีนัยยะสำคัญ ผ่านควันบุหรี่แต่ละแบบ

#TAG
บทความที่เกี่ยวข้อง
ข้อดีและข้อเสียของการใช้พอตกัญชา
พอตกัญชา เป็นวิธีการบริโภคกัญชาที่ได้รับความนิยมในยุคปัจจุบัน เนื่องจากเป็นวิธีที่ง่าย สะดวก และมีทางเลือกหลากหลายให้ผู้ใช้เลือกใช้
อ่านต่อ ข้อดีและข้อเสียของการใช้พอตกัญชา